1. Home
  2. »
  3. OR Transparency Centre
  4. »
  5. โครงสร้างราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันประเทศไทย

ราคาน้ำมันประเทศไทย

เบื้องหลังราคาน้ำมันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง กลไกการตั้งราคาน้ำมันในของประเทศไทย และข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำมันในประเทศ

เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับน้ำมันไทย

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับน้ำมันไทย

โครงสร้างราคาน้ำมัน

โครงสร้างราคาน้ำมัน

เรียนรู้ว่าในราคาน้ำมัน 1 บาทประกอบด้วยอะไรบ้าง
ใครเป็นคนกำหนดราคาน้ำมัน

ประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมในธุรกิจพลังงาน ระบบการค้าน้ำมันในประเทศไทยเป็นระบบการค้าเสรี บริษัทน้ำมันสามารถกำหนดราคาขายปลีกได้ด้วยตนเอง โดยอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีหน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลทางด้านราคาน้ำมัน คือ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)  กระทรวงพลังงาน

อย่างไรก็ดีภาครัฐมีส่วนในการกำกับดูแลราคาน้ำมัน โดยอาศัยกลไกด้านภาษีและกองทุนน้ำมัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากเกินไป

ส่วนประกอบราคาน้ำมัน

ในราคาน้ำมันขายปลีกที่ผู้บริโภคจ่ายในน้ำมันแต่ละลิตรนั้น สามารถแบ่งโดยง่ายได้เป็น 3 ส่วนหลัก คือ

1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (70%)​

ต้นทุนเนื้อน้ำมันคือส่วนของราคาน้ำมันที่มาจากต้นทุนการผลิตและการแปรรูปน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งประกอบด้วย:

  • ราคาน้ำมันดิบ (Crude Oil Price): ราคาผันผวนไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย เป็นส่วนที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยน
  • ค่าการกลั่น (Refining Margin): ค่าใช้จ่ายในการแปรรูปน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูป เช่น เบนซินหรือดีเซล ที่สามารถนำมาใช้งานได้ ค่าใช้จ่ายนี้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของโรงกลั่นน้ำมัน
2. ภาษีและกองทุน (23%)​

รัฐบาลมีนโยบายในการเก็บภาษีและเงินส่งเข้ากองทุนต่าง ๆ จากราคาน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนอนุรักษ์พลังงาน โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย:

  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax): ภาษีที่จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศ
  • ภาษีเทศบาล (Municipal Tax): ภาษีที่จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ในอัตราร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับท้องถิ่น
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ภาษีที่จัดเก็บ 7% ของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดเก็บอีก 7% ของค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
  • เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Fund): เงินที่เรียกเก็บตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันภายในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน
  • เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Conservation Fund): เงินที่เรียกเก็บตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทน
3. ค่าการตลาด (7%)​

ค่าการตลาด คือ ผลตอบแทนที่ผู้ค้า ม.7 ได้รับ ซึ่งยังไม่ใช่กำไรสุทธิ เพราะยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งของบริษัทผู้ค้าและเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน เช่น ค่าที่ดิน ค่าขนส่ง ค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าบริหารจัดการต่าง ๆ ภายในสถานี ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายและการตลาด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  ซึ่งหลังจากหักค่าใช้จ่ายเหล่านี้แล้ว ถึงจะเป็นกำไรสุทธิของผู้ค้าที่จะได้รับ

เมื่อรวมส่วนประกอบทั้งสามกลุ่มนี้เข้าด้วยกัน จะได้เป็นราคาขายปลีกน้ำมันที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันในประเทศไทย

ค่าการตลาดคืออะไร

“ค่าการตลาด” ซึ่งในประเทศไทยจะมีสัดส่วนในโครงสร้างราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 5-6% ของราคาน้ำมันขายปลีก เป็นรายได้ขั้นต้นก่อนหักค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ ได้แก่

ในโครงสร้างราคาน้ำมัน 

  • ค่าขนส่ง: ค่าใช้จ่ายในการขนส่งน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตไปยังโรงกลั่น และค่าขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปไปยังสถานีบริการ
  • ค่าดำเนินการของบริษัทน้ำมัน: ค่าปฏิบัติการคลัง ค่าสารเติมแต่ง ค่าใช้จ่ายทางการเงินจากการสำรองน้ำมันตามกฎหมาย ค่าใช้จ่ายในการบริหารและการตลาด
  • ค่าดำเนินการที่สถานีบริการ: ค่าใช้จ่ายในการสร้างและดูแลสถานีบริการ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน ฯลฯ
    ส่วนที่เหลือจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่กล่าวมาจึงจะเป็นกำไรสุทธิของผู้ค้า ม.7 ซึ่งต้องแบ่งกับผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันอีกด้วย ดังนั้น ค่าการตลาดจึงยังไม่ใช่กำไรสุทธิองบริษัทน้ำมัน

ดังนั้น ค่าการตลาดจึงไม่ใช่กำไรของบริษัทน้ำมัน แต่เป็นรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของบริษัทน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ

ไขความลับ!

ราคาน้ำมันไทย
ทำไมแพง

ค้นหาคำตอบ เข้าใจง่ายใน 3 นาที

ไขความลับ!

ราคาน้ำมันไทยทำไมแพง

ค้นหาคำตอบ เข้าใจง่ายใน 3 นาที

กองทุนน้ำมัน

กองทุนน้ำมัน

เข้าใจบทบาทของกองทุนน้ำมันในราคาน้ำมันของประเทศไทยและกลไกการทำงาน
กองทุนน้ำมันมีหน้าที่อะไร

ในโครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศไทย มีกองทุนสำคัญ 2 ประเภทที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาและการจัดการเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ได้แก่

  1. กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
  2. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน​

กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีบทบาทในการสนับสนุนโครงการและมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทน เช่น การสนับสนุนการพัฒนาพลังงานทดแทน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านพลังงาน เช่น โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ซึ่งให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพสูง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลง เป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการราคาน้ำมันในประเทศไทย มีบทบาทคล้าย “เบาะรองรับแรงกระแทก” เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ โดยใช้เงินจากกองทุนในการอุดหนุนราคาน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น หรือการเก็บเงินเข้ากองทุนเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง

เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้น กองทุนจะนำเงินมาช่วยอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก ช่วยลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนส่งและประชาชนทั่วไป

เราสังเกตการทำงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้จากการปรับราคาน้ำมันในประเทศที่บางครั้งน้ำมันเบนซินปรับราคาขึ้น แต่ราคาน้ำมันเบนซินยังคงอยู่เท่าเดิม เป็นผลมาจากการที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนำเงินมาพยุงราคาไว้นั่นเอง

ทำไมกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงถึงติดลบ

สถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไทยในปัจจุบัน มีตัวเลขติดลบกว่า 7 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 (อ้างอิง สกนช.) สะท้อนถึงปริมาณเงินที่กองทุนต้องใช้สำหรับการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบโลก

สาเหตุหลักที่กองทุนติดลบมาจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2565 เมื่อสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังการระบาดของโควิด-19 ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้กองทุนต้องนำเงินจำนวนมหาศาลไปอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม

เช่น ในช่วง มิถุนายน 2565 ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดเอเชียสูงถึง 160 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้กองทุนต้องนำเงินไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลสูงถึง 10.25 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกปรับตัวสูงขึ้นจนเกินไป และอาจกระทบต่อต้นทุนการขนส่งและราคาสินค้า ส่งผลให้กองทุนมีค่าใช้จ่ายในการประคองราคาน้ำมันดีเซลสูงถึง 110,000 ล้านบาท (ข้อมูลปี 2565 สกนช.) นอกจากนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลกยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยสูงขึ้นไปอีก ส่งผลให้ภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

รู้หรือไม่?

กองทุนน้ำมันใช้เงินมากกว่า

110,000 ล้านบาท

ประคองราคาน้ำมันไทยในปี 2565

จากผลกระทบของความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังการระบาดของโควิด-19

รู้หรือไม่?

กองทุนน้ำมันใช้เงินมากกว่า

110,000 ล้านบาท

ประคองราคาน้ำมันไทยในปี 2565

จากผลกระทบของความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังการระบาดของโควิด-19

การนำเข้าและส่งออกน้ำมันไทย

การนำเข้า
และส่งออกน้ำมันไทย

ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนำเข้าน้ำมันและการส่งออกน้ำมันของไทย
ทำไมราคาน้ำมันส่งออก ถูกกว่าในประเทศ

สำหรับในประเทศไทย ราคาน้ำมันขายปลีกที่ผู้บริโภคจ่ายในน้ำมันแต่ละลิตรนั้น สามารถแบ่งโดยง่ายได้เป็น 3 ส่วนหลัก คือ

  1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (70%)
  2. ภาษีและกองทุน (23%)
  3. ค่าการตลาด (7%)

ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าจะไม่มีการรวมภาษีหรือกองทุนที่มีสัดส่วนที่ประมาณ 23% เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการส่งออกสินค้าชนิดอื่น ๆ ทั่วไป

ดังนั้น ราคาน้ำมันที่ส่งออกจึงถูกกว่า เนื่องจากเป็นแค่ราคาเฉพาะเนื้อน้ำมันเพียงอย่างเดียว ไม่รวมภาษีและกองทุน

แม้ว่าราคาน้ำมันที่ส่งออกไปจะถูกกว่าราคาในประเทศไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนในประเทศปลายทางจะได้ใช้น้ำมันในราคาดังกล่าว เนื่องจากแต่ละรัฐบาลในประเทศปลายทางจะมีการกำหนดอัตราภาษีน้ำมันที่แตกต่างกันไปอยู่ดี ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันในบางประเทศแพงกว่าไทย และถูกกว่าไทยนั่นเอง

ไทยขุดน้ำมันได้เอง ทำไมต้องนำเข้า

แม้ประเทศไทยจะมีแหล่งขุดน้ำมันดิบเอง แต่ปริมาณที่ขุดได้รองรับปริมาณที่ต้องใช้ต่อวันได้ไม่ถึง 10% โดยผลิตได้เพียงประมาณ 70,000 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ปริมาณการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1,032,000 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.)

ไทยจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 90% เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานทั้งประเทศ ดังนั้นราคาน้ำมันไทยจึงผันผวนตามราคาน้ำมันตลาดโลก เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่นำเข้าในประเทศไทยจึงสูงขึ้นตามไปด้วย

ปัจจุบันไทยขุดน้ำมันดิบจาก 7 แหล่งน้ำมันดังนี้
  1. แหล่งขุดเจาะน้ำมันสิริกิติ์ 25,000 บาร์เรลต่อวัน
  2. แหล่งขุดเจาะน้ำมันจัสมิน 9,000 บาร์เรลต่อวัน
  3. แหล่งขุดเจาะน้ำมันหนองยาว 8,000 บาร์เรลต่อวัน
  4. แหล่งขุดเจาะน้ำมันเอราวัณ 6,600 บาร์เรลต่อวัน
  5. แหล่งขุดเจาะน้ำมันทานตะวัน 6,000  บาร์เรลต่อวัน
  6. แหล่งขุดเจาะน้ำมันมโนราห์ 4,800 บาร์เรลต่อวัน
  7. แหล่งขุดเจาะน้ำมันบัวหลวง 4,600 บาร์เรลต่อวัน
  8. แหล่งขุดเจาะอื่น ๆ 5,000 บาร์เรลต่อวัน

อ้างอิง: ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.

ไทยนำเข้าน้ำมันจากที่ไหนได้บ้าง

ปัจจุบัน ศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันของโลกกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค ดังนี้

  • ทวีปอเมริกา นิวยอร์ก ตลาด New York Mercantile Exchange (NYMEX)
  • ทวีปยุโรป ลอนดอน ตลาด Intercontinental Exchange (ICE)
  • ทวีปเอเชีย สิงคโปร์  Singapore International Monetary Exchange (SIMEX)

ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย การนำเข้าน้ำมันจากตลาดอื่น เช่น ตลาดนิวยอร์ก หรือลอนดอน จะทำให้ประเทศไทยมีต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดสิงคโปร์ เนื่องจากมีระยะทางที่ไกลกว่ามากในทางภูมิศาสตร์ โดยนอกจากประโยชน์ด้านต้นทุนในการนำเข้าแล้ว ตลาดสิงคโปร์ยังมีข้อดีที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอื่น ๆ ดังนี้

  • ราคากลางที่เชื่อถือได้: เนื่องจากตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดน้ำมันที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก มีการซื้อขายน้ำมันในปริมาณมากทุกวัน ทำให้ราคาน้ำมันที่ประกาศในตลาดนี้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ประเทศไทยสามารถใช้ราคานี้เป็นตัวอ้างอิงได้อย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับการซื้อเนื้อหมู หรือข้าวสารที่ผู้บริโภคต้องการซื้อด้วยราคาที่ขายกันในตลาดจริง ๆ ไม่ใช่ราคาที่ถูกกำหนดเองจากผู้ค้ารายใดรายหนึ่ง
  • ราคาสอดคล้องกับตลาดโลก: ราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์มีความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่าเป็นราคาที่ไม่ถูกแทรกแซงจากการปั่นราคา ทำให้ประเทศไทยมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบจากผู้ค้ารายใด
  • โครงสร้างพื้นฐานที่ดีและทันสมัย: สิงคโปร์มีท่าเรือและคลังเก็บน้ำมันที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย รองรับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันในปริมาณมากได้ และมีระบบการขนส่งที่ดี ซึ่งช่วยให้การขนส่งน้ำมันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
  • กฎระเบียบและการควบคุมที่ดี: สิงคโปร์มีระบบกฎหมายและกฎระเบียบที่ชัดเจนและโปร่งใส ทำให้การดำเนินการทางธุรกิจในตลาดน้ำมันเป็นไปอย่างยุติธรรม นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนและส่งเสริมการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน ทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีความมั่นคง
ทำไมไทยถึงส่งออกน้ำมันได้ แม้ว่าผลิตไม่พอ

น้ำมันที่มักพูดถึงกันมี 2 ประเภท ได้แก่

  1. น้ำมันดิบ ซึ่งยังไม่ใช่น้ำมันที่ผู้บริโภคนำมาเติมใช้ในรถยนต์ ต้องนำมากลั่นก่อน
  2. น้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งคือน้ำมันดิบที่กลั่นแล้ว ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่าง ๆ เช่น นํ้ามันเบนซิน, นํ้ามันดีเซล, นํ้ามันก๊าด, นํ้ามันอากาศยาน, นํ้ามันเตา และก๊าซปิโตรเลียมเหลว

สิ่งที่ประเทศไทยนำเข้าเป็นหลักคือ น้ำมันดิบ เนื่องจากประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบเอง ประมาณ 70,000 บาร์เรลต่อวัน จากปริมาณที่ต้องการใช้ประมาณ 1,032,000 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.) ซึ่งไม่ถึง 10% ของปริมาณที่ต้องใช้ จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ประเทศไทยก็มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซินและดีเซล) ด้วยบางส่วนเนื่องจากบางช่วงเวลาปริมาณการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปไม่เพียงกับปริมาณที่ต้องใช้

สำหรับการส่งออก ประเทศไทยส่งออกทั้งน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป โดยน้ำมันดิบที่ประเทศไทยส่งออกคือ น้ำมันดิบบางส่วนที่ขุดมาแล้วมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับโรงกลั่นในประเทศไทย และน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นมาแล้ว เกินจากปริมาณที่ต้องใช้ภายในประเทศ เช่น น้ำมันเตา ไทยจึงเป็นทั้งผู้นำเข้าและส่งออกในเวลาเดียวกัน

คุณเคยได้ยินข้อมูลนี้หรือยัง?

คุณเคยได้ยินข้อมูลนี้หรือยัง?

กลไกราคาน้ำมัน​

กลไกราคาน้ำมัน​

เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันไทย และสาเหตุที่ราคาน้ำมันแต่ละประเทศไม่เท่ากัน
ทำไมราคาน้ำมันไทยแพง

ราคาน้ำมันในประเทศไทยผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply)

แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันในประเทศไทยมากที่สุดคือ ต้นทุนเนื้อน้ำมันที่มาจากการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงประมาณ 70% ของราคาน้ำมันในไทย ดังนั้นสาเหตุที่ราคาน้ำมันไทยแพงจึงมาจากปัจจัยเหล่านี้:

1. การพึ่งพาการน้ำเข้าน้ำมันดิบ

แม้ประเทศไทยจะมีแหล่งขุดน้ำมันดิบเอง แต่ปริมาณที่ขุดได้รองรับปริมาณที่ต้องใช้ต่อวันได้ไม่ถึง 10%  ไทยจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 90% (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.) เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานทั้งประเทศ เมื่อประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบเป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่งและประกันภัยด้วย

2. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการผันผวนตามความต้องการและอุปทานในตลาด ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ สงคราม การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รวมถึงเหตุการณ์ธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่นำเข้าในประเทศไทยก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

3. ค่าขนส่งและค่าประกันภัย

การนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศต้องเสียค่าขนส่ง ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางเรือและค่าประกันภัย ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งในทะเล ค่าขนส่งและประกันภัยนี้เพิ่มต้นทุนในการนำเข้าน้ำมันดิบที่ไทยต้องนำเข้า ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยสูงขึ้นไปด้วย

ไทยขุดน้ำมันได้เอง ราคาควรจะถูก

แม้ประเทศไทยจะมีแหล่งขุดน้ำมันดิบเอง แต่ปริมาณที่ขุดได้รองรับปริมาณที่ต้องใช้ต่อวันได้ไม่ถึง 10% โดยผลิตได้เพียงประมาณ 70,000 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ปริมาณการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1,032,000 บาร์เรลต่อวัน (ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.)

ไทยจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 90% เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานทั้งประเทศ ดังนั้นราคาน้ำมันไทยจึงผันผวนตามราคาน้ำมันตลาดโลก เมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่นำเข้าในประเทศไทยจึงสูงขึ้นตามไปด้วย

ปัจจุบันไทยขุดน้ำมันดิบจาก 7 แหล่งน้ำมันดังนี้
  1. แหล่งขุดเจาะน้ำมันสิริกิติ์ 25,000 บาร์เรลต่อวัน
  2. แหล่งขุดเจาะน้ำมันจัสมิน 9,000 บาร์เรลต่อวัน
  3. แหล่งขุดเจาะน้ำมันหนองยาว 8,000 บาร์เรลต่อวัน
  4. แหล่งขุดเจาะน้ำมันเอราวัณ 6,600 บาร์เรลต่อวัน
  5. แหล่งขุดเจาะน้ำมันทานตะวัน 6,000  บาร์เรลต่อวัน
  6. แหล่งขุดเจาะน้ำมันมโนราห์ 4,800 บาร์เรลต่อวัน
  7. แหล่งขุดเจาะน้ำมันบัวหลวง 4,600 บาร์เรลต่อวัน
  8. แหล่งขุดเจาะอื่น ๆ 5,000 บาร์เรลต่อวัน

อ้างอิง: ข้อมูลปี 2566 อ้างอิง สนพ.

ทำไมราคาน้ำมันในไทยไม่เหมือนประเทศอื่น

ในด้านโครงสร้างของราคาน้ำมันแล้ว แต่ละประเทศจะมีองค์ประกอบของโครงสร้างราคาที่คล้ายกันคือ

  1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน
  2. ภาษีและกองทุน
  3. ค่าการตลาด

แต่สัดส่วนของแต่ละองค์ประกอบในแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตและการนำเข้า โครงสร้างภาษีและกองทุน และรัฐบาลนโยบาย

ทำไมประเทศมาเลเซียราคาน้ำมันถูก

ประเทศมาเลเซียจัดว่าเป็นประเทศที่มีปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบมากกว่าการนำเข้า (Net Export) ต่างจากประเทศไทยที่มีปริมาณการนำเข้าน้ำมันมากกว่าส่งออก (Net Import)

หมายความว่า มาเลเซียสามารถผลิตน้ำมันดิบได้มากกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศ ซึ่งนอกจากจะทำให้มาเลเซียมีต้นทุนของเนื้อน้ำมันที่ต่ำแล้ว รัฐบาลยังมีนโนบายการสนับสนุนราคาน้ำมันอีกด้วย ช่วยให้ราคาน้ำมันในประเทศมาเลเซียถูกกว่าไทย

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ประเทศมาเลเซียได้ประกาศยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแล้ว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในมาเลเซียปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 9 บาท/ลิตร แต่สาเหตุที่ราคายังคงถูกกว่าประเทศไทย เพราะโครงสร้างราคา ภาษี และกองทุน แตกต่างกัน

ทำไมต้องใช้ราคาน้ำมันจากสิงคโปร์

ราคาตลาดสิงคโปร์ที่มักพูดถึงกัน ไม่ได้หมายถึงราคาน้ำมันในประเทศสิงค์โปร์ หรือราคาน้ำมันที่ประเทศสิงคโปร์ประกาศเอง แต่หมายถึงราคาที่มาจากตลาดกลางในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

เรือบรรทุกน้ำมันจากทุกประเทศในภูมิภาคนี้ จะมาบรรจบกันที่สิงคโปร์เพื่อทำการแลกเปลี่ยนและซื้อขายน้ำมันประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ หรือน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งประเทศไทยใช้การอ้างอิงราคาจากตลาดสิงคโปร์นี้ใน 2 บริบทดังนี้

1. การนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดสิงคโปร์​

เนื่องจากประเทศไทยผลิตน้ำมันเองได้ไม่ถึง 10% ของปริมาณการใช้งานต่อวัน ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันดิบ รวมถึงในบางช่วงมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สาเหตุที่ประเทศไทยอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์ในการนำเข้าน้ำมัน มี 3 ประเด็นดังนี้:

  • ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์: สิงคโปร์ตั้งอยู่ในทำเลที่ใกล้กับประเทศไทยมากที่สุด การขนส่งน้ำมันจากสิงคโปร์มาประเทศไทยจึงมีความสะดวก รวดเร็ว และต้นทุนถูกกว่าการนำเข้าน้ำมันจากภูมิภาคอื่นที่อยู่ไกลกว่า เช่น ตะวันออกกลางหรืออเมริกา จึงเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและระยะเวลาในการขนส่ง
  • ราคากลางที่เชื่อถือได้: เนื่องจากตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดน้ำมันที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก มีการซื้อขายน้ำมันในปริมาณมากทุกวัน ทำให้ราคาน้ำมันที่ประกาศในตลาดนี้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ประเทศไทยสามารถใช้ราคานี้เป็นตัวอ้างอิงได้อย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับการซื้อเนื้อหมู หรือข้าวสารที่ผู้บริโภคต้องการซื้อด้วยราคาที่ขายกันในตลาดจริง ๆ ไม่ใช่ราคาที่ถูกกำหนดเองจากผู้ค้ารายใดรายหนึ่ง
  • ราคาสอดคล้องกับตลาดโลก: ราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์มีความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่าเป็นราคาที่ไม่ถูกแทรกแซงจากการปั่นราคา ทำให้ประเทศไทยมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบจากผู้ค้ารายใด

2. การตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นโดยอ้างอิงราคาในตลาดสิงคโปร์​

ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่ทั้งนำเข้าและส่งออกน้ำมันในเวลาเดียวกัน ดังนั้นนอกจากการนำเข้าน้ำมันที่ประเทศไทยอ้างอิงราคาตลาดสิงคโปร์แล้ว ประเทศไทยยังใช้สำหรับการตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นที่ผู้ค้าน้ำมันต่าง ๆ ซื้อน้ำมันจากประเทศไทยไปใช้ด้วย สาเหตุที่ประเทศไทยเลือกอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์ในการตั้งราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น มี 3 ประเด็นดังนี้:

  • ความน่าเชื่อถือในการค้า: เช่นเดียวกับการที่ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันโดยต้องการซื้อในราคากลางที่เป็นธรรม คู่ค้าที่ต้องการซื้อน้ำมันจากประเทศไทยก็ต้องการราคาที่เป็นธรรมเช่นกัน การตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องกับราคาในตลาดกลางและตลาดโลกจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ของประเทศไทยในการค้าระหว่างประเทศ
  • การกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรม: หากโรงกลั่นกำหนดราคาตามความต้องการ อาจทำให้เกิดการบิดเบือนราคาน้ำมัน ผู้บริโภคหรือผู้ค้าอาจต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงหรือไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง
  • ความไม่เสถียรของราคา: การตั้งราคาที่ไม่อิงจากตลาดสิงคโปร์อาจทำให้ราคาน้ำมันในประเทศมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากขาดเสถียรภาพที่มาจากการอ้างอิงราคาตลาดสากล